วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

4 ท่าบริหารป้องกัน ปวด จากการใช้คอมพิวเตอร์

1. ท่าบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง ท่านี้ควรให้เด็ก ๆ ยืนหรือนั่งให้หลังตรง แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วหงายมือออก

2. ท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ให้เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าโดยให้มือประสานกัน

3. ท่าบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนิ้วมือ โดยยืดแขนออกไปข้างหน้า โดยให้มือชี้ลง พร้อมทั้งดัดนิ้วมือไปทางด้านหลัง โดยให้ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา อย่างน้อย 20 วิน

4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยการยืนตัวตรง เอามือซ้ายจับบนศีรษะด้านขวา พร้อมโน้มคอไปทางด้านเดียวกับที่มือจับศีรษะอยู่ ทำสลับไปมา ซ้ายขวา

ไมโครซอฟท์ พร้อมเปิดตัว วินโดวส์ 7 แล้ว

ยุติการรอคอยเมื่อระบบปฏิบัติการตัวใหม่ล่าสุดของไมโครซอฟท์ เตรียมถูกนำออกวางจำหน่ายทั่วโลกในวันนี้ (22 ต.ค.) เมื่อไทยขายจริง 31 ต.ค.52

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วันนี้ (22 ต.ค.) บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศถึงการเปิดตัวระบบปฏิบัติการล่าสุด วินโดวส์ 7 (windows7) โดยหวังว่า ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 จะได้รับเสียงตอบรับจากผู้ใช้ในทางบวกมากกว่าระบบปฏิบัติการตัวก่อนหน้านี้ หรือ วินโดวส์ วิสตา (Windows Vista) ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ในเรื่องของการใช้งานที่ไม่สะดวกมากนัก โดยผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต่างตอบรับระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 เป็นอย่างดี

รายงานข่าวแจ้งว่า ผลการตอบรับดังกล่าวเห็นได้จาก มีคำสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อเมซอน (www.amazon.com) มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใน ทางบวกที่ออกมา เช่น การใช้งานที่ง่าย ไม่พบอาการระบบรวนมากนัก รวมถึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งไดรเวอร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กล้องถ่ายรูป ปรินเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ ทำให้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ได้สะดวกรวดเร็ว

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เชิญชวนผู้บริโภคในประเทศไทย ร่วมลุ้นเป็น 1 ใน 777 คนแรกที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ windows7 ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ ในราคาพิเศษครั้งแรกเพียง 2,777 บาท กับเวอร์ชั่น Home Premium ก่อนเปิดตัวจริงทั่วโลก 22 ต.ค. 2552 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 31 ต.ค.นี้ เพียงลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.windows7thailand.com และนำเอกสารยืนยันการลงทะเบียนมาแสดงสิทธิ์ในงานวันเปิดตัววินโดวส์ 7 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยในวันที่ 31 ต.ค. 2552 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 โดยต้องเป็น 1 ใน 777 คนแรกที่นำใบลงทะเบียนมายืนยันสิทธิ์ภายในงานตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป

ระบุยอดอาหารช่วยบำรุงสติปัญญา จุดประกายให้กับสมอง

การศึกษาจากต่างประเทศ พบว่าการรับประทาน ผลบลูเบอรี่ ไข่ มัสตาร์ดปลาแซลมอน และผักเคล จะช่วยบำรุงเพราะไปกระตุ่นเซลล์ประสาทชะลอโรคสมองเสื่อม...

รายงานการศึกษาระหว่างประเทศ ได้พบว่าอาหาร 5 ชนิดมีคุณประโยชน์ ช่วยจุดประกายความคิดให้กับสมองของเราได้ 5 ชนิด

ผลบลูเบอรี่ ส่วนผสมในผลไม้ชนิดนี้ มีสรรพคุณป้องกันขบวนการ ที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม และยังชะลอสมองไม่ให้แก่ชราลงเร็วด้วย

ไข่ อาหารเช้าชนิดนี้ อุดมด้วยเซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุช่วยบำรุงสมอง ให้คงหนุ่มสาวอยู่เสมอได้นานแรมปี

มัสตาร์ด สิ่งที่ทำให้มันมีคุณสมบัติอันน่าทึ่ง อยู่ที่หัวขมิ้นชัน ซึ่งได้บริโภควันละ 17 มิลลิกรัม หรือเท่ากับกินมัสตาร์ดวันละ 1 ช้อนชา จะไปช่วยปลุกยีนซึ่งควบคุมการกำจัดขยะของเซลล์ในสมอง ให้แข็งขันขึ้น

ปลาแซลมอน ปลาเนื้อสีชมพูนี้อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 ชนิดที่เชื่อว่ามีสรรพคุณต่อต้านความแก่ชราของสมองมากที่สุด

ผักเคล อันเป็นกะหล่ำปลีชนิดหนึ่ง ถ้าหากได้กินผักใบดกนี้อย่างน้อยวันละ 3 มื้อ สารคาโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในผัก จะช่วยชะลอสมองเสื่อมเพราะความแก่ชราให้ช้าลง.

ข้าวกล้องป้องความดันโลหิต ให้คุณแก่ร่างกายมากกว่าข้าวขัดขาว

โรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ของฮาวาร์ดได้ศึกษาพบว่า หากบริโภคข้าวกล้องมากๆ จะทำให้ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้..

วารสารวิชาการ "โภชนศาสตร์คลินิก" ของ สหรัฐฯรายงานว่า โรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ของฮาวาร์ดได้ศึกษาพบว่า หากบริโภคข้าวกล้องมากๆ จะทำให้ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้

คณะนักวิจัยของ ดร.อลัน เจ.ฟลินท์ ได้พบว่า ผู้ชายคนที่กินข้าวกล้องมากที่สุด ในการทดลองจะหนีโรคได้มากกว่าคนที่กินน้อยที่สุด

มากถึงร้อยละ 19 หากแต่ยังไม่ค่อยได้ข้อมูลที่แสดงว่า ข้าวกล้องจะให้คุณกับการบำรุงสุขภาพของหัวใจผู้ชายอย่างไร แพทย์อลันได้ชี้ว่า ข้าวกล้องยังคงมีส่วนที่เป็นรำและแร่ธาตุมูลฐาน จึงอุดมด้วยสารอาหารชนิดต่างๆยิ่งกว่าข้าวขัดขาว ทางการอเมริกันได้เคยออกคำแนะนำประชาชนเมื่อเร็วๆนี้ ควรจะบริโภคข้าวกล้องกันอย่างต่ำเป็นปริมาณวันละ 85 กรัม

ผลการศึกษาก็ได้ส่อเช่นเดียวกันว่า ผู้หญิงที่กินข้าวกล้องมาก ก็จะไม่ค่อยเป็นความดันโลหิตสูงเช่นกัน.


ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง 11 ประการ

1. ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมืออทางการแพทย์จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์ หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายหลังจากการตรวจ นั่นแค่หมายความว่า เครื่องมือทางการพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้เนื่องจากขนาดของเซลล์มะเร็งยังไม่มากพอ หรือขาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ


2. เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้นมาก ถึง 6 -10 ครั้ง ใน 1 ช่วงชิวิตของมนุษย์


3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลายเพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย


4. เมื่อคนไข้ ถูกบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด หรือ โภชนาการไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต


5. การเอาชนะเซลล์มะเร็ง สามาถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย


6. การให้คีโม หรือสารเคมีบางชนิด เป็นทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำลายเซลล์ที่ดีของร่างกายไปด้วยอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอาจทำลายระบบของอวัยวะสำคัญไปด้วย เช่น ตับ ไต หัวใจ หรือปอด


7. การฉายรังสี ก็จะทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื่อบางส่วนไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลล์ เนื่อเยื่อที่ดีไปด้วยเช่นกัน


8. โดยทั่วไปแล้ว การให้คีโม หรือการฉายรังสี อาจจะทำให้ขนาดของก้อนเซลล์มะเร็งลดลง แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีผลทำลายก้อนเนื่อไปมากกว่านั้น


9. เมื่อร่างกายต้องรับสารพิษจำนวนมาก จากการให้คีโมหรือการฉายแสง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นร่างกาวยก็ง่ายต่อการติดเชื้อ หรือพ่ายแพ้เซลล์มะเร็ง


10. การให้คีโม หรือการฉายแสง อาจเป็สาเหตุให้เซลล์มะเร็ง มีการกลายพันธุ์ หรือดื้อยา ทำให้ยากแก่การทำลาย การผ่าตัด ก็อาจสามารถทำให้ เซลล์มะเร็งกระจายไปยังส่วนอื่น

11. วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง คือ หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์มะเร็งจำเป็นต้องนำไปใช้

นมวัว กับ นมถั่วเหลือง นมไหนดีกว่ากัน

"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"


คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัด ๆ เลย


ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น


พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า


เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว


หากเป็นนมถั่วเหลืองธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้น ๆ

ล้างหน้าไม่สะอาดระวังโรค ฝีที่เปลือกตา

ฝีที่เปลือกตา(meibumion) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการใช้เครื่องสำอาง ที่ไม่ค่อยสะอาด ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกไปอุดตันที่รูขุมขนลามมาเปลือกตาด้านในและเกิดเป็นหนองขึ้น โดยวิธีการรักษานั้นทำได้โดยการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเจาะหนองที่เปลือกตาออก
จากอาการป่วยดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ความสะอาดของเครื่องสำอาง และการทำความสะอาดใบหน้าหลังจากการใช้เครื่องสำอางค์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเครื่องสำอางไม่สะอาดพอและทำความสะอาดใบหน้าหลังการแต่งหน้าได้ไม่ทั่วถึง ก็อาจจะทำให้เกิดการตกค้างของสารเคมีและเมื่อเกิดการหมักหมมในปริมาณมากก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับผิวหน้าและบริเวณสำคัญ เช่น ดวงตาได

ดังนั้นถ้าต้องแต่งหน้าเป็นประจำก็ควรให้ความสำคัญกับความสะอาดด้วย ควรทำความสะอาดใบหน้าทุกครั้งหลังการแต่งหน้า เลือกคลีนเซอร์ให้เหมาะกับผิว รวมถึงเลือกอายมูฟเวอร์ที่มีความปลอดภัยต่อดวงตาด้วย จำไว้นะคะว่าความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ



อาหารทำร้ายดวงตา

เกร็ดความรู้ คู่ สุขภาพ วันนี้มีเรื่องดีๆ มาฝาก... เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่า อาหารจานโปรด ที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อ ดวงตา และ สายตา ก็ได้ ว่าแล้วเราไปอ่าน เกร็ดความรู้ คู่ สุขภาพ นี้พร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ

อาหารที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อดวงตาก็ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...


นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรซากิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองกับหนูพบว่า หนูที่กินอาหารที่มีปริมาณสารโซเดียมกลูตาเมทซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับผงชูรส มีความสามารถในการมองเห็นลดลงเนื่องจากชั้นเรตินาในดวงตาถูกทำลาย และกิจกรรมการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าในเซลล์ประสาทตาลดลง ซึ่งอาจส่งผลเช่นเดียวกันนี้กับมนุษย์


นอกจากนี้ฮิโรชิ โฮกุโร หัวหน้าคณะวิจัยสังเกตว่า สาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยโรคต้อหินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจมาจากการนิยมรับประทานอาหารที่ปรุงรสด้วยสารโมโนโซเดียมกลูตาเมท


รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ารับประทานผงชูรสมากจนเกินไป จะได้ไม่เสียสุขภาพ

ทำไมมดถึงต้องเดินแล้วเอาหนวดแตะกัน


ที่มดเดินแล้วเอาหนวดแตะกัน นั้นเป็นเพราะว่ามดต้องการสื่อสารกัน

มดสื่อสารกันได้อย่างไร??


เป็นเวลากว่า 30 ปีมาแล้ว ที่นักกีฏวิทยาและนักมดวิทยาได้ศึกษาแมลงสังคมและมด และก็ได้ลงความเห็นว่ามดมีรูปแบบการสื่อสารระหว่างกันทั้งหมด 12 แบบด้วยกันได้แก่

1. การเตือนภัย หรือบอกเหตุอันตราย
2. การดึงดูดความสนใจทั่วไป
3. การบอกตำแหน่งแหล่งอาหารและรัง
4. การช่วยเหลือตัวอ่อนเวลาลอกคราบ
5. การแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันอาหารเหลว
6. การแลกเปลี่ยนอาหารที่เป็นของแข็ง
7. อิทธิพลของกลุ่มที่มีทั้งการสนับสนุนและยับยั้งกิจกรรมที่ให้กระทำ
8. การยอมรับวรรณะของมดร่วมรัง และแบ่งแยกมดพวกที่บาดเจ็บหรือตาย
9. การกำหนดวรรณะโดยมดราชินี
10. การควบคุมการแข่งขันการสืบพันธุ์ของกลุ่ม
11. การกำหนดอาณาเขตของรังและตำแหน่งของรัง
12. การสื่อสารเรื่องเพศ

รูปแบบการสื่อสารเหล่านี้ก็โดยใช้ “สารเคมีในร่างกาย” (หรือที่เราเรียกว่า “ฟีโรโมน”) ที่มีกลิ่นแตกต่างกันไปเป็นหลัก โดยอวัยวะส่วนที่สัมผัสและรับรู้กลิ่นนี้ได้ดีก็คือ “หนวด” นั่นเอง มดจะใช้หนวดในการสื่อสารกัน เราคงคุ้นเคยที่เห็นมดเวลาเจอกัน จะใช้หนวดแตะกัน นั่นคือการสื่อสารกัน พฤติกรรมที่เราเห็นนั้นคือ มันกำลังถ่ายเทอาหารหรือของเหลวให้แก่กัน อาจเป็นตัวหนึ่งให้อีกตัวหนึ่งรับหรือการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน

สารเคมีเปรียบเสมือนกลิ่นประจำตัวที่ทำให้มดสามารถแยกแยะตัวอื่นได้ว่า เป็นมดกลุ่มเดียวกันหรือมาจากต่างกลุ่มกัน กลิ่นของสารเคมียังช่วยให้มันแยกแยะวรรณะได้ คือทำให้มันรู้ว่าพี่น้องมันตัวไหนเป็นมดงาน ตัวไหนเป็นมดเพศผู้ ตัวไหนเป็นมดเพศเมีย หรือตัวไหนเป็นมดราชินี อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าตัวอ่อนที่เป็นน้องของมันนั้นอยู่ในระยะไหนแล้ว เพราะถ้าใกล้ลอกคราบมันก็จะมาช่วยด้วย เพราะปกติในรังนั้นก็มืดอยู่แล้ว และการมองเห็นของมดก็ไม่ค่อยดี การสัมผัสโดยรับรู้จากกลิ่นทำให้เป็นการกำหนดพฤติกรรมของมันไปด้วยในตัว

เมื่อมดออกนอกรัง โลกใบใหญ่อันกว้างขวางของมันนั้น มันรับรู้ได้โดยใช้สารเคมีนี้ช่วย ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจสิ่งรอบตัว หรือแหล่งอาหาร เมื่อมันพบแล้วมันก็ยังต้องพึ่งเส้นทางจากสารเคมีนั่นเองเพื่อใช้เป็นเส้น ทางกลับรังไปบอกพรรคพวกและเดินเส้นทางเดิมโดยไม่หลงทางเพื่อไปลากอาหารกลับ รัง เราอาจเรียกทางนี้ว่า “เส้นทางมด” ซึ่งก็เป็นเส้นทางของสารเคมีจากตัวมันนั่นเอง

อีกทั้งเมื่อรังของมันถูกคุกคามจากศัตรูภายนอก ก็เป็นสารเคมีนี้อีกนั่นแหละที่มีบทบาท โดยมดราชินีจะเป็นผู้ส่งสัญญาณเตือนภัยออกไปเพื่อให้มดงานทั้งหลายมาปกป้อง เธอและไข่

จะเห็นได้ว่า สารเคมีจากตัวมดนี้ มีบทบาทต่อวิถีชีวิตพวกมันมากทีเดียว

กินข้าวเหนียว สร้างสารอาหารและบำรุงผิวพรรณ

ข้าวเหนียว เป็นธัญพืชที่รองลงมาจากข้าวที่คนเรานิยมรับประทานกัน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน ความเชื่อของคนโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งมีทั้งข้าวใหม่และข้าว ข้าวใหม่มี คุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หรืออาจจะปลูกในที่ดอนก็ได้ที่เรียกว่าข้าวไร่ทางภาคเหนือ

พันธุ์ของข้าวเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่เห็นจะมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวที่มีสีขาว และข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวเร็วเม็ดจะแข็งกว่า ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวช้า แต่คนโบราณจะนิยมนำข้าวเหนียว ที่เก็บได้ใหม่หลังจากที่สีแล้วไปฝากกัน ซึ่งทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองได้ทำนาเองและมีความปราบปลื้มใจมาก ถึงแม้ว่าจะมันจะไม่เยอะก็ตาม

การหุงต้มข้าวเหนียวจะทำเช่นเดียวกับข้าวสารไม่ได้ เพราะข้าวเหนียวมีความแน่นมากกว่า ในการหุงต้มจึงนำข้าวเหนียวแช่น้ำเสียก่อน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง หากมีความต้องการที่จะใช้ในเวลารวดเร็วใช้น้ำอุ่นแช่ การนำสารส้มเพียงเล็กน้อย มาใส่ลงในข้าวเหนียวขณะที่แช่ จะช่วยให้ข้าวเหนียวขาวสะอาดขึ้น

เราจะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานข้าวเหนียวกันมากกว่าข้าวเจ้า เพราะข้าวเหนียวรับประทาน แล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน แต่การรับประทานมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้

ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนมมากกว่า เช่นเทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมแข่ง เทศกาลออกพรรษาคนในสมัยก่อนก็จะทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกิน กับส้มตำ หรืออื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมี ประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น
- บำรุงร่างกาย
- ช่วยขับลมในร่างกาย
- สร้างสารอาหาร
- เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น

โดยการ นำข้าวสารแช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะ เป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป

เคล็ดลับน่ารู้ เปลือกไข่ทำให้ผ้าขาว

เปลือกไข่...ช่วยให้ผ้าขาว

ผ้าสีขาว เมื่อใช้ไปนานๆ แล้วคุณจะพบว่าผ้าจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อนทำให้ดูเก่า ไม่น่าใส่ วิธีง่ายๆในการซักเพื่อให้ผ้ากลับมามีสีขาวดังเดิม คือ นำเปลือกไข่ป่นลงในอ่างที่เตรียมไว้สำหรับซักผ้า และแช่ผ้าไว้ซักครู่ จากนั้นจึงซักผ้าตามปรกติ ผ้าของคุณก็จะกลับมาขาวสะอาดเหมือนใหม่

อัญมณี สื่อความหมาย

คุณสมบัตพิเศษของอัญมณี

เพชร เป็นอัญมณีล่ำค่า สดใสเป็นประกาย เพชรเป็นสัญญลักษณ์ของความกล้าหาญ ความบริสุทธ์ ความไร้เดียงสา แสดงถึง ความรักที่บริสุทธ์

มรกต เป็นตัวแทนแห่งรักแท้ ชายใดใส่มรกต จะได้รับรักแท้จากหญิงสาว มรกตสามารถแสดงให้เห็นว่า ความรักจะสดใส หรือเปลี่ยนไป ตามสีที่เคยสดใส เป็น ขุ่นมัว เมื่อความรักจืดจาง เย็นชาไป

Amethyst เป็นพลอยสีม่วง มีความสัมพันธ์ กับนักบุญ เซนต์ วาเลนไทน์ คนที่ใส่เครื่องประดับชนิดนี้ จะเป็นคนมีเสน่ห์ ช่วยเสริมให้มีโชคลาภ ที่สำคัญ สามารถขจัด อาการมึนเมา แบบหัวราน้ำได้ด้วย

ทับทิมสยาม เป็นอัญมณีสดใส เป็นประกายสีแดง ช่วยเสริมสร้างความรัก และมิตรภาพ ที่ดีงามให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้วยความที่ทับทิมเป็นสีแดง จึงเหมาะที่จะเป็นของขวัญในวันแห่งความรัก และถ้าทับทิมรูปหัวใจ จะทำให้มีความหมายยิ่งขึ้น

Blue Sapphire สีน้ำเงินสดใส นำโชคสำหรับการหมั้นหมาย และรักแท้ จึงเป็นอัญมณีอีกชนิดหนึ่ง นอกจากเพชรที่ใช้แทนความรัก ช่วยนำ และเสริมสร้าง ความงดงาม ความสุข มาให้ คุณสมบัติพิเศษ สามารถบำบัดรักษา โรคผิดปกติ ทางสมอง ได้ด้วย

Yellow Sapphire เป็นอัญมณี สีเหลืองทอง สดใส นำโชคลาภ ความเป็นศิรมงคล มาให้ผู้ใส่ ยิ่งถ้ามีสีสดใสเป็นพิเศษ สีเหลืองจะใส เป็นประกายสว่างวาว สามารถขจัดโรคที่เกิดขึ้นกับหน้าอก โรคปวดข้อ กระดูก ได้อย่างน่าทึ่ง

Turquoise เป็นหินสีฟ้าอมเขียว ส่วนมากจะทึบแสง มีอนุภาพมาก ต่อสุขภาพผู้สวมใส่ ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ เคราะห์ร้าย อันตรายต่างๆ ทำให้เป็นที่นิยมใส่กันในเวลาเดินทาง หรือหากบางคนไม่เป็นเป็นเครื่องประดับ จะพกติดตัวเป็นเครื่องลางก็ได้

Garnet เป็นพลอย คล้ายทับทิม แต่มีสีเข้มกว่าจนเกือบเป็นสีน้ำตาล ว่ากันว่าพลอยชนิดนี้ ป้องกันการอักเสบของแผล เสริมสร้างให้สุขภาพที่ดี ทำให้อารมณ์เบิกบานร่าเริง Garnet จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ ในด้านด้านความรัก และ ความเป็นมิตรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

Pearl เป็นพลอยที่สร้างแรงบันดาลใจในความรัก และยังสามารถใช้รักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ขจัดความหงุดหงิด กระวนกระวายใจ และสามารถนำมาทำเครื่องลาง นำโชคได้ด้วย


หลังจากที่ได้รับทราบ เกร็ดความรู้ที่เรามอบให้เป็นแนวทางไปแล้ว คุณคิดออกหรือยัง ว่าในวันวาเลนไทน์นี้ คุณจะมอบอัญมณีชิ้นไหนให้คนที่คุณรัก

ปากบอกนิสัย

นอกจากคำพูดที่ออกมาจากปาก จะสามารถบอกถึงนิสัยของแต่ละคนแล้ว รูปปากของคุณก็ยังบอกได้ว่าคุณเป็นคนอย่างไร

ริมฝีปากกว้าง และบาง
แสดงถึง คุณเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงกับตัวเองและผู้อื่น ในเรื่องส่วนตัว และธุรกิจ คุณมีอิสระในการตัดสินใจ แต่จะมีปัญหาในการทำงานร่วมกับผู้อื่นอยู่เสมอ ในเรื่องของอารมณ์ คุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี สุขุม มีความมั่นใจในตัวเอง

ริมฝีปากอิ่ม ยั่วยวน
แสดงถึง คุณมีความสามารถในการรับมือกันสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี ชีวิตคุณ มีความสนุกสนานอยู่เต็มหัวใจ และคุณพร้อมที่จะมอบให้คนรอบข้างตลอดเวลา คุณใช้โอกาสในวันหนึ่ง ๆ ได้อย่างคุ้มค่า โดยไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้ คุณมีอารมณ์อ่อนไหว รักอิสระ

ริมฝีปากบางและแคบ
แสดงถึง คุณให้ความสำคัญเรื่องจิตใจ ความรู้สึก มากกว่าร่างกาย คุณเป็นคนช่างเพ้อฝัน และมักจะซ้อนตัวอยู่ในความฝันมากกว่าความเป็นจริง คุณเป็นคนรักสันโดษ แต่หากจะเข้าสังคม แล้วคุณจะเลือกสรรสังคมนั้น ๆ ว่าเป็นพวกที่สุภาพและมีวัฒนธรรม

ริมฝีปากอิ่มและแคบ
แสดงถึง คุณเป็นคนมั่นคง รักความสงบ เรียบง่าย สบาย ๆ แต่นิสัยช่างจุกจิก ประจำตัว เพลา ๆ หน่อยก็ดี เพราะจะทำให้ชีวิตของคุณสงบนิ่งยิ่งขึ้น คุณมีความสุขในการรับประทานอาหารดี ๆ มีประโยชน์ เพราเป็นช่วงที่ทำให้คุณรู้สึกดี สบายใจมากขึ้น

ริมฝีปากคว่ำ
แสดงถึง คุณจะเป็นผู้ตระหนักดีว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตคุณ ทำให้คุณมองโลกอย่างระมัดระวัง และรอบคอบมากขึ้น

ริมฝีปากหงาย
แสดงถึง คุณเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี ทำให้ผู้อื่นอยากคบหาสมาคมด้วย การเป็นคนมองโลกในแง่ดี จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ดีที่สุด

ริมฝีปากด้านบนบาง
แสดงถึง คุณพึงพอใจในความเป็นตัวตนของคุณเอง ความสนุกสนานของคุณ

ริมฝีปากด้านบนอิ่ม
แสดงถึง ความเป็นคนทะเยอทะยาน ช่างเพ้อฝัน ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น พยายามจะวิ่ง จะแสวงหาความพอดีอยู่ตลอดเวลา

ริมฝีปากบนยื่น
แสดงถึง ชีวิตคุณ เต็มไปด้วยความยากลำบาก คุณไม่ชอบการตัดสินใจที่รวดเร็ว เพราะจะทำให้คุณพลาดพลั้งเสียโอกาสที่ดีได้ และคุณก็จะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ อีก

ริมฝีปากล่างยื่น
แสดงถึง ชีวิตคุณมักจะพบกับความยากลำบากเสมอ คุณชอบที่จะทำงาน โดยเน้นการปฎิบัติมากกว่า



GAT PAT คืออะไร จะเตรียมตัวอย่างไรเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย

GAT PAT ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2553

เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) พื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้

1. ปี 2553 ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย

1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %

2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %

3) GAT 10-50 %

4) PAT 0-40 %

รวม 100 %

หมายเหตุ

1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้

2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป

3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ

2.รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT

1. เนื้อหา

- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%

- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%

2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง

- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ

3. จัดสอบปีละหลายครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)

3. รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT

1. PAT มี 6 ชุด คือ

PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์

เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills

PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์

เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ

PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์

เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability

PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ

PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์

เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ

PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์

เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ

ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ

"อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น PAT 7 และย่อยลงไปเป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก"ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง

2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย

- คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง

- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก

- มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

3. จัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง

- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553

สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่ ผอ.สทศ. กล่าว.

ที่มา : เดลินิวส์ , สยามรัฐ

ก็ขอฝากถึงน้องๆที่จะแอดฯ ปี 53 ด้วยนะคะการเตรียมตัว และติดตามข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญถึงแม้ว่าการศึกษาไทยจะเปลี่ยนไปมาจนทำให้เด็กไทยมึนหัวหลายครั้ง จะได้เตรียมตัวรับสถานะการล่วงหน้านะ