
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ทำไมผู้ชายกลัวการผูกมัด...


| |||||||||||
| |||||||||||
| |||||||||||
| |||||||||||
|
ทำไมตากฝนแล้วถึงเป็นหวัด
เคยสงสัยไหมว่า เวลาตากฝน โดยเฉพาะเวลาศีรษะเปียกฝนแล้ววันต่อมาเริ่มมีอาการของหวัด เช่น มีอาการจาม คัดจมูก หรือน้ำมูก วันนี้เรามีคำอธิบาย และมีคำแนะนำเวลาตากฝน
โรคหวัด ก็คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิดที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศแล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น
ไวรัสเหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติเราก็จะสัมผัสกับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูงรวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด ก่อนฝนตกมักจะมีกระแสลมที่แรงลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนฝนตกโอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น
ดังนั้น พยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกหรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกในช่วงเวลานั้นก็ได้ หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะแต่การที่ศีรษะเปียกฝนจะมีผลทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตกก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไปก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูกนั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้
นอกจากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้วอุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกันการที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้
วิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ
หลบฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้ หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็วรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิที่พื้นผิวของจมูกทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของเชื้อโรครับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้
เลเซอร์แก้ผิวลาย เผยผิวใหม่
ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกเจ็บและมีลักษณะแดงบริเวณผิวที่ถูกเลเซอร์เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือมีผลข้างเคียงมากกว่านี้ เช่น การกรอผิวด้วยคริสตัลบริสุทธิ์ขนาดเล็ก หรือการลอกผิวด้วยกรดผลไม้
การแก้ปัญหาผิวด้วย Fraxel Laser ใช้ได้กับทุกสภาพและสีผิว รักษาเรื่องริ้วรอย ความเหี่ยวย่น จุดด่างดำ รอยฝ้า รอยแผลเป็นจากสิว ใช้กับผิวหนังบริเวณทั้งใบหน้า ลำตัว รวมทั้งรอบดวงตา ให้ผลการรักษาสูงถึงร้อยละ 60-90 ถือว่าดีที่สุดในขณะนี้
ค่านิยมวันวาเลนไทน์ ฆ่านิยมวันเสียตัวแห่งชาติ
นายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ใหญ่มักให้ภาพวันวาเลนไทน์กับวัยรุ่นเป็นภาพลบมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เขากล่าวไม่เห็นด้วยกับการที่ทุกๆ ปีนั้นจะมีผู้ใหญ่ออกมาอิงกระแสตราหน้าหาว่าวัยรุ่นใช้วันวันวาเลนไทน์เป็น "พลีกาย" เป็น "วันเสียตัวแห่งชาติ"
ข่าวป้ายสีเด็กลงฟรี ข่าวเด็กดีๆ ต้องเสียตังค์ลง
"ทุกๆ ปีผู้ใหญ่และสื่อ ให้ความสำคัญกับวันนี้มากมาย จนสถานประกอบการต่างๆ จับกระแสได้โดยเริ่มคลอดโปรโมชั่นแบบยั่วยวนให้กลุ่มเด็กเข้าไปใช้บริการเหล่านั้น ซึ่งแทนที่ผู้ใหญ่ สื่อ กระทรวงวัฒนธรรมจะนำเสนอหรือออกมาพูดในเรื่องดีๆ ของเด็กในวันนี้ ซึ่งมีเต็มหมด เช่น เด็กออกมาทำอะไรสร้างสรรค์ ออกมารณรงค์เรื่องดีๆ และขยายความหมายของวันนี้มากกว่าวันแห่งความรักเชิงชู้สาวที่เน้นความรักแบบต้องมีเซ็กส์กัน แต่ผู้ใหญ่และสื่อเลือกจับคู่เอาเรื่องเด็กกับสิ่งไม่ดีเสนอๆ"
พอเกิดด้านลบมากๆ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร บอกว่า จริงๆ วัยรุ่นที่ทำตัวไม่ดีมีแค่ 10 % พอออกข่าวไปแล้วก็บอกว่า "วัยโจ๋-นักศึกษา…" ถ้าพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเหมารวมหมด เด็กส่วนใหญ่ที่ทำตัวดีก็โดนด่า ซึ่งเป็นการพูดความจริงแค่นิดเดียว ผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้ซึ่งคาดว่า วาเลนไทน์ปีนี้เด็กก็จะโดนกล่าวหาว่าทำตัวไม่ดีเหมือนเคย
"เด็กดีๆ หลายคนรู้สึกว่าเด็กๆ ถูกป้ายสีนะ แต่อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" แทนที่เราจะมาลงข่าวว่าเด็ก เราไม่ดียังไงๆ ทำไมผู้ใหญ่ไม่รณรงค์ว่าวาเลนไทน์เป็นวันสุภาพบุรุษ วาเลนไทน์เป็นวันมีคนมาช่วยกันในสังคม มาช่วยกันอนุรักษ์สังคม ไม่ต้องไปจงใจในเรื่องของเซ็กส์แอนตี้อยางเดียวแต่ว่าเป็นเรื่องของเรื่องทั่วไป เราไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นวันแห่งความรัก แต่เรารักอย่างอื่นได้ รักสังคมได้ รักพ่อแม่ก็ได้นะ อันนี้ผู้ใหญ่ควรจะรู้ไว้" ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร กล่าว
มองมุมกลับ กับ วันเสียตัวแห่งชาติ
นอกเหนือความหมายวันวาเลนไทน์ หรือวันเสียตัวแล้ว ถามว่าปัจจุบันเด็กเสียคนเองหรือว่าโดนทุนนิยม โดนกระแสสังคมทำให้เสียคนประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร บอกว่าน่าจะมาจากปัจจัยรวมๆ ทั้งหมด
"คำถามผมก็คือ ผู้ใหญ่ สื่อ และตำรวจทำไมไม่เปลี่ยนอีกมุมหนึ่งมาช่วยเด็กจัดกิจกรรมรักความสร้างสรรค์ แต่นี่กลายเป็นว่าวันวาเลนไทน์วัยรุ่นกลายเป็นอาชญากรรมไป ถามจับมาทำอะไรเขาได้ แถมไม่ได้ทำให้พฤติกรรมของเด็กๆ เปลี่ยนแปลงเลย"
ถามว่าใครไม่สร้างสรรค์กันแน่เด็กหรือผู้ใหญ่ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานครบอกว่าทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าเด็กไม่ดีหรือว่าผู้ใหญ่ไม่ดี อยากให้เด็กออกมาพูดบ้างว่าเทคผับที่เปิดอยู่ทุกวันนี้ทำไมไม่จัดโซนนิ่งล่ะ ทำไมมีผู้มีอิทธิพลยิงคนฆ่าคนตายเยอะล่ะ ฆ่าข่มขืนเยอะแยะทำไมผู้ใหญ่ไม่ทำตัวดีๆ ถ้าเด็กออกมาพูดเรื่องนี้ผู้ใหญ่ก็เสียหมดแล้วอนาคตสังคมไทยจะได้อะไร
สร้างฮีโร่ เพราะฮีโร่ไม่สิ้น...!!!
"จริงๆเด็กมันเป็นไม้อ่อนที่มันดัดได้ แล้วก็มองอีกมุมว่าแทนที่เราจะมาโฟกัสว่าเด็กไม่ดีอย่างนั้นเรามาเปิดแผนที่ชีวิตสำหรับเด็กที่ดี ดีกว่าว่าการที่จะนำไปสู่เด็กที่จะเป็นการยอมรับของสังคมหรือว่าเรียนรู้ในการอยู่ในสังคมได้อย่างหลากหลาย ก็นำเสนอชีวิตของเด็กที่ดีเยอะๆ มันก็จะทำให้กระแสสังคมเกิดไอดอลเด็กก็จะรู้ว่าเค้าจะเดินตามใคร และเขาจะได้อะไร เขาจะได้มีฮีโร่ ทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงต้องสร้างฮีโร่เยอะๆเพราะมันเป็นไอดอลให้เด็กได้ เด็กก็จะไม่รู้สึกว่าเขาต้องไปทำไม่ดี เขาทำดี เขาจะได้รับโน้นนี่นั่น ผมอยากให้ทำอะไรในเชิงแก้ปัญหาแบบยั่งยืนดีกว่า"
อย่างน้อยๆ อรุณฉัตร บอกว่า ถ้าลองมาทำกิจกรรมดีๆ ต่อให้มีคนแค่ 10 คน นั่นหมายถึง 10 คนจะดีขึ้น และ10 คนก็มีคนรู้จักอีกประมาณ 100 กว่าคนสังคมก็เปลี่ยนได้ เพราะการเริ่มต้นของคน 10 คนเช่นกัน นับจากนี้เรามองว่าอีก 10-20 ปี ถ้าคนที่มาเป็นรัฐบาลมีโมเดลในการสร้างคนด้วยการมอบปัญหา มอบการศึกษามากกว่าสร้างวัตถุ
วันวาเลนไทน์ โจ๋ไทยกับทัศนะหลากหลายที่ผู้ใหญ่ปากร้ายต้องฟัง
นางสาวพินทุอร อุทัยวรรณ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงทรรศนะกับไทยรัฐออนไลน์ว่าวันนี้เป็นวันแห่งการสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ไปกับ ของขวัญและดอกไม้
"มองว่าวันวาเลนไทน์ก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ซึ่งนอกจากจะได้อยู่กับแฟนแล้วยังจะได้อยู่กับครอบครัวไปด้วยในตัว อย่างไรก็ดีพลอยอยากจะวิงวอนให้ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองให้เข้าใจเด็กว่าบางคนไม่มีความคิดแบบนั้น อยากให้ผู้ใหญ่มองว่าเด็กก็มีความคิดดีๆ เหมือนกัน"
นางสาวรัสวดี วันทรงธรรม รัฐศาสตร์ปี 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนคิดว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใหญ่กล่าวหาเด็กๆ แบบนั้น คงเพราะผู้ใหญ่คิดว่าวันนี้มันเป็นค่านิยมของเด็ก อีกทั้งผู้ชายส่วนหนึ่งก็ใช้วันนี้เป็นข้ออ้างด้วย แต่จริงๆ แล้วผู้ใหญ่ลืมไปว่าเด็กที่เขาว่าเหลวแหลกนั้นเป็นส่วนน้อยของสังคมแค่ 20 % เท่านั้น
"วิธีแก้ไขได้นอกจากผู้ใหญ่จะหยุดตอกย้ำเอาเรื่องของคนกลุ่มเล็กมาพูดแล้ว ครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังให้เรามีความยังยังช่างใจ ซึ่งวันวาเลนไทน์ไม่จำกัดอยูแค่ต้องอยู่กับแฟนเท่านั้น ความรักมันยังกินความหมายไปได้ ถึง พ่อ-แม่-ครู ท่านเลี้ยงและสั่งสอนเรามาก็ควรจะตอบแทนท่านด้วยความรักและเอาใจใส่ดีกว่าไปทำตัวเหลวไหล"
นาย ชูวรรธณ์ ชีวะอุดมกล่าวว่า ในฐานะผู้ชายผมมีความรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งบนหน้าปฏิทินเท่านั้น ก็คงจะมีของขวัญมอบให้กับคนรัก แต่ก็ไม่ได้หมายความถึงแฟนอย่างเดียวหมายถึงครอบครัวพ่อ แม่ พี่น้อง ด้วย อาจจะมีการไปทานข้าวด้วยกัน ไม่ใช่คิดแต่ว่าจะให้แต่แฟนแค่คนเดียวซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัว
"ทุกๆ ครั้งที่พวกผู้ใหญ่นินทาเด็กว่าวันนี้มันจะต้องเสียตัวกันนั้น ผมมองว่ามันเป็นค่านิยมที่ผิดๆ เป็นทัศนะคติดที่ใช้ไม่ได้ ซึ่งถ้าหากผู้ใหญ่เอาแต่ด่าๆ แล้วก็ไม่หาทางออกให้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขสักที สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คืออยากให้ภาครัฐตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันาปลูกฝังค่านิยมใหม่ดีๆ กระทั่งสร้างคอมเพล็กดีๆ เพื่อให้เยาวนไปทำกิจกรรมและหาความรู้ดีแบบไม่เสียเงิน ดีกว่าโกงชาติบ้านเมือง"
นางสาวสิรามล วงศ์คงคำ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม คณะนิเทศศาสตร์ กล่าวว่าทำไมคนไทยต้องให้ความสำคัญกับวันนี้ด้วย วันที่ 14 ก.พ.ทุกๆ ปี
"สำหรับเราเป็นวันไร้สาระแห่งชาติเป็นวันแห่งการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ที่ต้องเสียเงินซื้อของขวัญแลกกับแฟน พอได้แลกของขวัญกันก็ทำให้เรารู้สึกถึงการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เรื่องแบบนี้วัยุรุ่นหลายคนคิด แต่ไม่ค่อยมีสื่อที่จะสื่อสารออกไป ซึ่งผู้ใหญ่เคยรู้ไหมว่าการออกมาพูดแบบนี้ทำให้โรงแรมม่านรูดต่างๆ จัดโปรโมชั่นมากมายแล้วใครได้ประโยชน์ แต่คงไม่ใช่เด็กแน่ๆ เรื่องผิดกฎหมายแบบนี้ทำไม่กระทรวงวัฒนธรรมไม่ทำ".
โขน
โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของ
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนำวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ โขนนำท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และโขนนำศิลปะการพากย์การเจรจา หน้าพาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขน ปิดหน้าหมด ยกเว้น เทวดา มนุษย์ และมเหสี ธิดาพระยายักษ์ มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย เรื่องที่แสดงนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุฑ ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์
๑. โขนกลางแปลง คือ การเล่นโขนบนพื้นดิน ณ กลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรงให้เล่น นิยมแสดงตอนยกทัพรบกัน โขนกลางแปลงได้วิวัฒนาการมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ เรื่องกวนน้ำอมฤต เรื่องมีอยู่ว่า เทวดาและอสูรใคร่จะเป็นอมตะ จึงไปทูลพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงแนะนำให้กวนน้ำอมฤต โดยใช้เขามนทคิรีเป็นไม้กวน เอาพระยาวาสุกรีเป็นเชือกพันรอบเขา เทวดาชักทางหาง หมุนเขาไปมา พระยาวาสุกรีพ่นพิษออกมา พระนารายณ์เชิญให้พระอิศวรดื่มพิษนั้นเสีย พระอิศวรจึงมีศอสีนิลเพราะพิษไหม้ ครั้นกวนต่อไป เขามนทคิรีทะลุลงไปใต้โลก พระนารายณ์จึงอวตารเป็นเต่าไปรองรับเขามนทคิรีไว้ ครั้นได้น้ำอมฤตแล้ว เทวดาและอสูรแย่งชิงน้ำอมฤตกันจนเกิดสงคราม พระนารายณ์จึงนำน้ำอมฤตไปเสีย พวกอสูรไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตก็ตายในที่รบเป็นอันมาก เทวดาจึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ พระนารายณ์เมื่อได้น้ำอมฤตไปแล้ว ก็แบ่งน้ำอมฤตให้เทวดาและอสูรดื่ม พระนารายณ์แปลงเป็นนางงามรินน้ำอมฤตให้เทวดา แต่รินน้ำธรรมดาให้อสูร ฝ่ายราหูเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์แต่ราหูเป็อสูร ราหูเห็นเทวดาสดชื่นแข็งแรงเมื่อได้ดื่มน้ำอมฤต แต่อสูรยังคงอ่อนเพลียอยู่ เห็นผิดสังเกต จึงแปลงเป็นเทวดาไปปะปนอยู่ในหมู่เทวดา จึงพลอยได้ดื่มน้ำอมฤตด้วย พระอาทิตย์และพระจันทร์จึงแอบบอกพระนารายณ์ พระนารายณ์โกรธมากที่ราหูตบตาพระองค์ จึงขว้างจักรไปตัดกลางตัวราหู ร่างกายท่อนบนได้รับน้ำอมฤตก็เป็นอมตะ แต่ร่างกายท่อนล่างตายไป ราหูจึงเป็นยักษ์มีกายครึ่งท่อน ราหูโกรธและอาฆาตพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก พบที่ไหนก็อมทันที เกิดเป็นราหูอมจันทร์หรือจันทรคราสและสุริยคราส ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้ามาเทศนาให้ราหูเลิกพยาบาทจองเวร ราหูจึงได้คลายพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ออก
การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ เล่นในพิธีอินทราภิเษก มีปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา โขนกลางแปลงนำวิธีการแสดงคือการจัดกระบวนทัพ การเต้นประกอบหน้าพาทย์ มาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ แต่เปลี่ยนมาเล่นเรื่องรามเกียรติ์ และเล่นตอนฝ่ายยักษ์และฝ่ายพระรามยกทัพรบกัน จึงมีการเต้นประกอบหน้าพาทย์ และอาจมีบทพาทย์และเจรจาบ้างแต่ไม่มีบทร้อง
๒ โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงมีหลังคา ไม่มีเตียงสำหรับตัวโขนนั่ง แต่มีราวพาดตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราวแทนเตียง มีการพากย์และเจรจา แต่ไม่มีการร้อง ปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ มีปี่พาทย์ ๒ วง เพราะต้องบรรเลงมาก ตั้งหัวโรงท้ายโรง จึงเรียกว่าวงหัวและวงท้าย หรือวงซ้ายและวงขวา วันก่อนแสดงโขนนั่งราวจะมีการโหมโรง และให้พวกโขนออกมากระทุ้งเส้าตามจังหวะเพลง พอจบโหมโรงก็แสดงตอนพิราพออกเที่ยวป่า จับสัตว์กินเป็นอาหาร พระรามหลงเข้าสวนพวาทองของพราพ แล้วก็หยุดแสดง พักนอนค้างคืนที่โรงโขน รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่เตรียมไว้ จึงเรียกว่า "โขนนอนโรง"
๓ โขนหน้าจอ คือโขนที่เล่นตรงหน้าจอ ซึ่งเดิมเขาขึงไว้สำหรับเล่นหนังใหญ่ ในการเล่นหนังใหญ่นั้น มีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาว การแสดงหนังใหญ่มีศิลปะสำคัญ คือการพากย์และเจรจา มีดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดง ผู้เชิดตัวหนังต้องเต้นตามลีลาและจังหวะดนตรี นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ต่อมามีการปล่อยตัวแสดงออกมาแสดงหนังจอ แทนการเชิดหนังในบางตอน เรียกว่า "หนังติดตัวโขน" มีผู้นิยมมากขึ้น เลยปล่อยตัวโขนออกมาแสดงหน้าจอตลอด ไม่มีการเชิดหนังเลย จึงกลายเป็นโขนหน้าจอ และต้องแขวะจอเป็นประตูออก ๒ ข้าง เรียกว่า "จอแขวะ"
๔ โขนโรงใน คือ โขนที่นำศิลปะของละครในเข้ามาผสม โขนโรงในมีปี่พาทย์บรรเลง ๒ วงผลัดกัน การแสดงก็มีทั้งออกท่ารำเต้น ทีพากย์และเจรจาตามแบบโขน กับนำเพลงขับร้องและเพลงประกอบกิริยาอาการ ของดนตรีแบบละครใน และมีการนำระบำรำฟ้อนผสมเข้าด้วย เป็นการปรับปรุงให้วิวัฒนาการขึ้นอีก การผสมผสานระหว่างโขนกับละครในสมัยรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ ทั้งมีราชกวีภายในราชสำนักช่วยปรับปรุงขัดเกลา และประพันธ์บทพากย์บทเจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึ้นอีก
โขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ ก็ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม
๕ โขนฉาก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีผู้คิดสร้างฉากประกอบเรื่องเมื่อแสดงโขนบนเวที คล้ายกับละครดึกดำบรรพ์ ส่วนวิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการแบ่งเป็นชุดเป็นตอน เป็นฉาก และจัดฉากประกอบตามท้องเรื่อง จึงมีการตัดต่อเรื่องใหม่ไม่ให้ย้อนไปย้อนมา เพื่อสะดวกในการจัดฉาก กรมศิลปากรได้ทำบทเป็นชุดๆ ไว้หลายชุด เช่น ชุดปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดชุดนาง