วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมผู้ชายกลัวการผูกมัด...

1. กลัวการรับผิดชอบ

พวกผู้ชายหลายคนได้รับการสั่งสมความคิด และรับรู้กันมาว่า การแต่งงานคือการผูกมัดต้องมอบชีวิตทั้งหมดให้ครอบครัว ซึ่งพวกเขาจะต้องรับผิดชอบภรรยาและลูกๆ ที่จะเกิดมาทำให้พวกเขาแค่นึกก็ขยาดขนหัวลุก เลยพากันคิดว่าอยู่อย่างนี้ดีแล้วไม่ต้องรับผิดชอบใคร
2. กลัวขาดอิสระ

ชีวิตส่วนใหญ่ของเพศชาย มีอิสระล้นฟ้า จะทำอะไร จะไปไหนก็ได้ พ่อแม่ไม่ถือ อาจจะบ่นจะว่าบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรง หายหัวไปนอนบ้านเพื่อนสองอาทิตย์ กลับมาก็ยังได้รับการต้อนรับจากครอบครัวเหมือนเดิม สำมะเลเทเมาแค่ไหนก็ได้ มีแฟนกี่คนก็ได้จะ รีบมีเมียไปทำไม
3. กลัวไม่ได้ทุ่มเทกับงาน

ผู้ชายบางกลุ่มมุ่งมั่นในอาชีพการงาน ชอบการแข่งขัน เพื่อไขว่คว้าหาความก้าวหน้า คนพวกนี้คิด
ว่า การมีครอบครัวจะขัดขวางเวลาในการทำงาน กลัวทำงานดึกไม่ได้ กลัวไปกินดื่มสังสรรค์กับเจ้านาย และลูกค้าไม่ได้อย่างที่เคย เขาจึงไม่อยากผูกมัดกับหญิงใด
4. กลัวอดเที่ยว

ผู้ชายทุกคนชอบเที่ยว บางกลุ่มชอบเที่ยวกลางคืน เฮไหนไปนั่น อยู่กับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน บางกลุ่มชอบผจญภัย ชอบขับรถออฟโรด ตะลุยไปทั่วป่าเขาลำเนาไพร ผู้ชายกลุ่มนี้จะทุ่มเทเงินกับการแต่รถซื้อ อุปกรณ์เดินป่า ไม่อยากมีลูกเมียให้เป็นพันธะให้ต้องเป็นห่วง
5.กลัวเพื่อนหาย

เป็นที่รู้กันแล้วว่า ผู้ชายชอบจับกลุ่มอยู่กันเป็นฝูง เพื่อส่องหญิง จีบหญิงแข่งกัน หรือแต่งรถแข่งกัน หาเรื่องมาแข่งขันกันเช่น พนันฟุตบอล เล่นเกมต่างๆ คุยใหญ่โตทับกัน เพราะหัวใจของผู้ชายชอบการแข่งขัน ถ้ามีเมีย เขากลัวว่าจะกลับมารวมกลุ่มกันไม่ได้

6. กลัวว่าตัวเองจะกลัวเมีย

ผู้ชายหลายคนนะ...ที่รักผู้หญิงแบบเทิดทูน แต่พวกเขาก็ยังรักตัวเอง รักชีวิตแบบเดิมๆ ของตัวอง ดังนั้นพวกเขาอาจจะไม่อยากแต่งงาน เพราะเกรงว่ามีครอบครัวไปแล้วจะกลายเป็นคนกลัวเมีย หลงรักลูก ไม่กล้าไปทำอะไรอย่างที่เคยๆ แล้วก็กลัวถูกเพื่อนล้อด้วย...
7. กลัวเซ็กซ์หดหู่

เคยบอกแล้วววว...ว่าเซ็กซ์เป็นสิ่งสำคัญในอันดับต้นๆ ของเพศชาย การเป็นโสดของผู้ชาย อาจหมายถึงการใช้ชีวิตเซ็กซ์อย่างอิสระเสรี มีเพศสัมพันธ์อย่างตื่นเต้นกับหญิงแปลกหน้าไปเรื่อยๆ ถ้าการมีเมียหมายถึง การต้องมีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนเดียวพวกเขาจะรีบมีไปทำไม
8. กลัวญาติ (เมีย) เยอะ

ผู้ชายไม่ชอบความวุ่นวาย เพศชายส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครแบบเพศหญิง ถ้าการแต่งงานหมายถึงเขาจะต้องเข้าไปจำยอมอดทนกับ พ่อตา แม่ยาย สารพันญาติกาโหติโกของภรรยา เขาคงต้องหลีกเลี่ยงแน่ๆ ผู้ชายหน้าไหนจะอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน
9. กลัวผู้หญิงเปลี่ยนไป

ผู้ชายอาจรับรู้มาจาก พ่อ แม่ ของเขา หรือจากครอบครัวเพื่อนว่า ผู้หญิงที่เป็นแฟนกับเป็นเมียต่างกันลิบลับ เช่น แฟนน่ารัก เมียขี้บ่น แฟนหุ่นดี เมียอ้วนพะโล้ ฯลฯ (แล้วผู้หญิงก็มักเป็นเช่นนี้ซะด้วย!...) ผู้ชายพวกนี้จะคบผู้หญิงแค่เป็นแฟน แต่ไม่ยอมแต่งงาน
10. กลัว เพราะเห็นแก่ตัว

จากการที่มนุษย์เพศชายส่วนใหญ่ในสังคม ทำให้พวกเขาเคยชินกับอาการใหญ่โตของพวกเขา และเห็นแก่ตัวเกินไป ที่จะต้องเสียสละอันใหญ่หลวง ด้วยการแต่งงาน ผู้ชายบางคนบอกว่าไม่มีเมีย เพราะกลัวเมียมาแย่งกินแย่งใช้...เฮ้อ! อย่างนี้ก็มีด้วยแฮะ...มาถึงตรงนี้แล้ว

อยากจะบอกว่าผู้หญิงหลายคนก็กลัวการแต่งงานเช่นกันนะคะ เพราะภาระการเป็นเมียก็ยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้ากัน โดนเฉพาะการเป็นแม่ ผู้หญิงต้องลำบากกว่าผู้ชายหลายเท่านักแต่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักกล้าหาญ เรียกร้องการผูกมัด อยากเข้าพิธีแต่งงาน อยากเป็นเมีย อยากเป็นแม่ ... ว่าแต่ถ้าจะให้ได้เป็นแน่ๆ ต้องทลายกำแพงความกลัวทั้งหลายเหล่านี้ของผู้ชายให้ได้ก่อนนะคะ

ทำไมตากฝนแล้วถึงเป็นหวัด

เคยสงสัยไหมว่า เวลาตากฝน โดยเฉพาะเวลาศีรษะเปียกฝนแล้ววันต่อมาเริ่มมีอาการของหวัด เช่น มีอาการจาม คัดจมูก หรือน้ำมูก วันนี้เรามีคำอธิบาย และมีคำแนะนำเวลาตากฝน

โรคหวัด ก็คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิดที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศแล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น


ไวรัสเหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติเราก็จะสัมผัสกับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูงรวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด ก่อนฝนตกมักจะมีกระแสลมที่แรงลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนฝนตกโอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น


ดังนั้น
พยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกหรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกในช่วงเวลานั้นก็ได้ หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะแต่การที่ศีรษะเปียกฝนจะมีผลทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตกก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไปก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูกนั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้

นอกจากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้วอุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกันการที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้

วิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ

หลบฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้ หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็วรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิที่พื้นผิวของจมูกทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของเชื้อโรครับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้

เลเซอร์แก้ผิวลาย เผยผิวใหม่

นวัตกรรมล่าสุดที่นำมาอัพเดทนั้นคือ ‘Fraxel Laser’ เป็นการใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1410 นาโนเมตร ปล่อยคลื่นแสงลึกสุดถึงชั้นคอลลาเจน แบบตรงตำแหน่งที่ต้องการรักษา เพื่อปรับสภาพผิวที่มีปัญหาให้กลายเป็นเซลล์ผิวเก่า และจะถูกผลักให้หลุดลอกออกภายใน 2 สัปดาห์ โดยเซลล์ผิวใหม่จะเข้าไปแทนที่

ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกเจ็บและมีลักษณะแดงบริเวณผิวที่ถูกเลเซอร์เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือมีผลข้างเคียงมากกว่านี้ เช่น การกรอผิวด้วยคริสตัลบริสุทธิ์ขนาดเล็ก หรือการลอกผิวด้วยกรดผลไม้

การแก้ปัญหาผิวด้วย Fraxel Laser ใช้ได้กับทุกสภาพและสีผิว รักษาเรื่องริ้วรอย ความเหี่ยวย่น จุดด่างดำ รอยฝ้า รอยแผลเป็นจากสิว ใช้กับผิวหนังบริเวณทั้งใบหน้า ลำตัว รวมทั้งรอบดวงตา ให้ผลการรักษาสูงถึงร้อยละ 60-90 ถือว่าดีที่สุดในขณะนี้

ค่านิยมวันวาเลนไทน์ ฆ่านิยมวันเสียตัวแห่งชาติ

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกับการออกมาให้ข่าวของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐอย่าง กระทรวงวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งสื่อสารมวลชนทุกๆ แขนง พิพากษาให้ "วันวาเลนไทน์" ว่าเป็น "วันเสียตัวแห่งชาติ" ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจกับเด็กเป็นวงกว้างนั้น

นายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ใหญ่มักให้ภาพวันวาเลนไทน์กับวัยรุ่นเป็นภาพลบมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เขากล่าวไม่เห็นด้วยกับการที่ทุกๆ ปีนั้นจะมีผู้ใหญ่ออกมาอิงกระแสตราหน้าหาว่าวัยรุ่นใช้วันวันวาเลนไทน์เป็น "พลีกาย" เป็น "วันเสียตัวแห่งชาติ"

ข่าวป้ายสีเด็กลงฟรี ข่าวเด็กดีๆ ต้องเสียตังค์ลง

"ทุกๆ ปีผู้ใหญ่และสื่อ ให้ความสำคัญกับวันนี้มากมาย จนสถานประกอบการต่างๆ จับกระแสได้โดยเริ่มคลอดโปรโมชั่นแบบยั่วยวนให้กลุ่มเด็กเข้าไปใช้บริการเหล่านั้น ซึ่งแทนที่ผู้ใหญ่ สื่อ กระทรวงวัฒนธรรมจะนำเสนอหรือออกมาพูดในเรื่องดีๆ ของเด็กในวันนี้ ซึ่งมีเต็มหมด เช่น เด็กออกมาทำอะไรสร้างสรรค์ ออกมารณรงค์เรื่องดีๆ และขยายความหมายของวันนี้มากกว่าวันแห่งความรักเชิงชู้สาวที่เน้นความรักแบบต้องมีเซ็กส์กัน แต่ผู้ใหญ่และสื่อเลือกจับคู่เอาเรื่องเด็กกับสิ่งไม่ดีเสนอๆ"

พอเกิดด้านลบมากๆ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร บอกว่า จริงๆ วัยรุ่นที่ทำตัวไม่ดีมีแค่ 10 % พอออกข่าวไปแล้วก็บอกว่า "วัยโจ๋-นักศึกษา…" ถ้าพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเหมารวมหมด เด็กส่วนใหญ่ที่ทำตัวดีก็โดนด่า ซึ่งเป็นการพูดความจริงแค่นิดเดียว ผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้ซึ่งคาดว่า วาเลนไทน์ปีนี้เด็กก็จะโดนกล่าวหาว่าทำตัวไม่ดีเหมือนเคย

"เด็กดีๆ หลายคนรู้สึกว่าเด็กๆ ถูกป้ายสีนะ แต่อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" แทนที่เราจะมาลงข่าวว่าเด็ก เราไม่ดียังไงๆ ทำไมผู้ใหญ่ไม่รณรงค์ว่าวาเลนไทน์เป็นวันสุภาพบุรุษ วาเลนไทน์เป็นวันมีคนมาช่วยกันในสังคม มาช่วยกันอนุรักษ์สังคม ไม่ต้องไปจงใจในเรื่องของเซ็กส์แอนตี้อยางเดียวแต่ว่าเป็นเรื่องของเรื่องทั่วไป เราไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นวันแห่งความรัก แต่เรารักอย่างอื่นได้ รักสังคมได้ รักพ่อแม่ก็ได้นะ อันนี้ผู้ใหญ่ควรจะรู้ไว้" ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร กล่าว

มองมุมกลับ กับ วันเสียตัวแห่งชาติ

นอกเหนือความหมายวันวาเลนไทน์ หรือวันเสียตัวแล้ว ถามว่าปัจจุบันเด็กเสียคนเองหรือว่าโดนทุนนิยม โดนกระแสสังคมทำให้เสียคนประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร บอกว่าน่าจะมาจากปัจจัยรวมๆ ทั้งหมด

"คำถามผมก็คือ ผู้ใหญ่ สื่อ และตำรวจทำไมไม่เปลี่ยนอีกมุมหนึ่งมาช่วยเด็กจัดกิจกรรมรักความสร้างสรรค์ แต่นี่กลายเป็นว่าวันวาเลนไทน์วัยรุ่นกลายเป็นอาชญากรรมไป ถามจับมาทำอะไรเขาได้ แถมไม่ได้ทำให้พฤติกรรมของเด็กๆ เปลี่ยนแปลงเลย"

ถามว่าใครไม่สร้างสรรค์กันแน่เด็กหรือผู้ใหญ่ ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพมหานครบอกว่าทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าเด็กไม่ดีหรือว่าผู้ใหญ่ไม่ดี อยากให้เด็กออกมาพูดบ้างว่าเทคผับที่เปิดอยู่ทุกวันนี้ทำไมไม่จัดโซนนิ่งล่ะ ทำไมมีผู้มีอิทธิพลยิงคนฆ่าคนตายเยอะล่ะ ฆ่าข่มขืนเยอะแยะทำไมผู้ใหญ่ไม่ทำตัวดีๆ ถ้าเด็กออกมาพูดเรื่องนี้ผู้ใหญ่ก็เสียหมดแล้วอนาคตสังคมไทยจะได้อะไร

สร้างฮีโร่ เพราะฮีโร่ไม่สิ้น...!!!

"จริงๆเด็กมันเป็นไม้อ่อนที่มันดัดได้ แล้วก็มองอีกมุมว่าแทนที่เราจะมาโฟกัสว่าเด็กไม่ดีอย่างนั้นเรามาเปิดแผนที่ชีวิตสำหรับเด็กที่ดี ดีกว่าว่าการที่จะนำไปสู่เด็กที่จะเป็นการยอมรับของสังคมหรือว่าเรียนรู้ในการอยู่ในสังคมได้อย่างหลากหลาย ก็นำเสนอชีวิตของเด็กที่ดีเยอะๆ มันก็จะทำให้กระแสสังคมเกิดไอดอลเด็กก็จะรู้ว่าเค้าจะเดินตามใคร และเขาจะได้อะไร เขาจะได้มีฮีโร่ ทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงต้องสร้างฮีโร่เยอะๆเพราะมันเป็นไอดอลให้เด็กได้ เด็กก็จะไม่รู้สึกว่าเขาต้องไปทำไม่ดี เขาทำดี เขาจะได้รับโน้นนี่นั่น ผมอยากให้ทำอะไรในเชิงแก้ปัญหาแบบยั่งยืนดีกว่า"

อย่างน้อยๆ อรุณฉัตร บอกว่า ถ้าลองมาทำกิจกรรมดีๆ ต่อให้มีคนแค่ 10 คน นั่นหมายถึง 10 คนจะดีขึ้น และ10 คนก็มีคนรู้จักอีกประมาณ 100 กว่าคนสังคมก็เปลี่ยนได้ เพราะการเริ่มต้นของคน 10 คนเช่นกัน นับจากนี้เรามองว่าอีก 10-20 ปี ถ้าคนที่มาเป็นรัฐบาลมีโมเดลในการสร้างคนด้วยการมอบปัญหา มอบการศึกษามากกว่าสร้างวัตถุ

วันวาเลนไทน์ โจ๋ไทยกับทัศนะหลากหลายที่ผู้ใหญ่ปากร้ายต้องฟัง

นางสาวพินทุอร อุทัยวรรณ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงทรรศนะกับไทยรัฐออนไลน์ว่าวันนี้เป็นวันแห่งการสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ไปกับ ของขวัญและดอกไม้

"
มองว่าวันวาเลนไทน์ก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ซึ่งนอกจากจะได้อยู่กับแฟนแล้วยังจะได้อยู่กับครอบครัวไปด้วยในตัว อย่างไรก็ดีพลอยอยากจะวิงวอนให้ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองให้เข้าใจเด็กว่าบางคนไม่มีความคิดแบบนั้น อยากให้ผู้ใหญ่มองว่าเด็กก็มีความคิดดีๆ เหมือนกัน"

นางสาวรัสวดี
วันทรงธรรม รัฐศาสตร์ปี 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนคิดว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใหญ่กล่าวหาเด็กๆ แบบนั้น
คงเพราะผู้ใหญ่คิดว่าวันนี้มันเป็นค่านิยมของเด็ก อีกทั้งผู้ชายส่วนหนึ่งก็ใช้วันนี้เป็นข้ออ้างด้วย แต่จริงๆ แล้วผู้ใหญ่ลืมไปว่าเด็กที่เขาว่าเหลวแหลกนั้นเป็นส่วนน้อยของสังคมแค่ 20 % เท่านั้น

"วิธีแก้ไขได้นอกจากผู้ใหญ่จะหยุดตอกย้ำเอาเรื่องของคนกลุ่มเล็กมาพูดแล้ว ครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังให้เรามีความยังยังช่างใจ ซึ่งวันวาเลนไทน์ไม่จำกัดอยูแค่ต้องอยู่กับแฟนเท่านั้น ความรักมันยังกินความหมายไปได้ ถึง พ่อ-แม่-ครู
ท่านเลี้ยงและสั่งสอนเรามาก็ควรจะตอบแทนท่านด้วยความรักและเอาใจใส่ดีกว่าไปทำตัวเหลวไหล"

นาย ชูวรรธณ์ ชีวะอุดมกล่าวว่า ในฐานะผู้ชายผมมีความรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งบนหน้าปฏิทินเท่านั้น
ก็คงจะมีของขวัญมอบให้กับคนรัก
แต่ก็ไม่ได้หมายความถึงแฟนอย่างเดียวหมายถึงครอบครัวพ่อ แม่ พี่น้อง ด้วย อาจจะมีการไปทานข้าวด้วยกัน ไม่ใช่คิดแต่ว่าจะให้แต่แฟนแค่คนเดียวซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัว

"ทุกๆ ครั้งที่พวกผู้ใหญ่นินทาเด็กว่าวันนี้มันจะต้องเสียตัวกันนั้น ผมมองว่ามันเป็นค่านิยมที่ผิดๆ เป็นทัศนะคติดที่ใช้ไม่ได้ ซึ่งถ้าหากผู้ใหญ่เอาแต่ด่าๆ แล้วก็ไม่หาทางออกให้
เรื่องนี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขสักที สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คืออยากให้ภาครัฐตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันาปลูกฝังค่านิยมใหม่ดีๆ กระทั่งสร้างคอมเพล็กดีๆ เพื่อให้เยาวนไปทำกิจกรรมและหาความรู้ดีแบบไม่เสียเงิน ดีกว่าโกงชาติบ้านเมือง"

นางสาวสิรามล
วงศ์คงคำ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม คณะนิเทศศาสตร์ กล่าวว่าทำไมคนไทยต้องให้ความสำคัญกับวันนี้ด้วย วันที่ 14 ก.พ.ทุกๆ ปี

"สำหรับเราเป็นวันไร้สาระแห่งชาติเป็นวันแห่งการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ที่ต้องเสียเงินซื้อของขวัญแลกกับแฟน พอได้แลกของขวัญกันก็ทำให้เรารู้สึกถึงการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
เรื่องแบบนี้วัยุรุ่นหลายคนคิด แต่ไม่ค่อยมีสื่อที่จะสื่อสารออกไป ซึ่งผู้ใหญ่เคยรู้ไหมว่าการออกมาพูดแบบนี้ทำให้โรงแรมม่านรูดต่างๆ จัดโปรโมชั่นมากมายแล้วใครได้ประโยชน์ แต่คงไม่ใช่เด็กแน่ๆ เรื่องผิดกฎหมายแบบนี้ทำไม่กระทรวงวัฒนธรรมไม่ทำ".

โขน

โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของ
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนำวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ โขนนำท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และโขนนำศิลปะการพากย์การเจรจา หน้าพาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขน ปิดหน้าหมด ยกเว้น เทวดา มนุษย์ และมเหสี ธิดาพระยายักษ์ มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย เรื่องที่แสดงนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุฑ ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์

๑. โขนกลางแปลง คือ การเล่นโขนบนพื้นดิน ณ กลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรงให้เล่น นิยมแสดงตอนยกทัพรบกัน โขนกลางแปลงได้วิวัฒนาการมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ เรื่องกวนน้ำอมฤต เรื่องมีอยู่ว่า เทวดาและอสูรใคร่จะเป็นอมตะ จึงไปทูลพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงแนะนำให้กวนน้ำอมฤต โดยใช้เขามนทคิรีเป็นไม้กวน เอาพระยาวาสุกรีเป็นเชือกพันรอบเขา เทวดาชักทางหาง หมุนเขาไปมา พระยาวาสุกรีพ่นพิษออกมา พระนารายณ์เชิญให้พระอิศวรดื่มพิษนั้นเสีย พระอิศวรจึงมีศอสีนิลเพราะพิษไหม้ ครั้นกวนต่อไป เขามนทคิรีทะลุลงไปใต้โลก พระนารายณ์จึงอวตารเป็นเต่าไปรองรับเขามนทคิรีไว้ ครั้นได้น้ำอมฤตแล้ว เทวดาและอสูรแย่งชิงน้ำอมฤตกันจนเกิดสงคราม พระนารายณ์จึงนำน้ำอมฤตไปเสีย พวกอสูรไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตก็ตายในที่รบเป็นอันมาก เทวดาจึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ พระนารายณ์เมื่อได้น้ำอมฤตไปแล้ว ก็แบ่งน้ำอมฤตให้เทวดาและอสูรดื่ม พระนารายณ์แปลงเป็นนางงามรินน้ำอมฤตให้เทวดา แต่รินน้ำธรรมดาให้อสูร ฝ่ายราหูเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์แต่ราหูเป็อสูร ราหูเห็นเทวดาสดชื่นแข็งแรงเมื่อได้ดื่มน้ำอมฤต แต่อสูรยังคงอ่อนเพลียอยู่ เห็นผิดสังเกต จึงแปลงเป็นเทวดาไปปะปนอยู่ในหมู่เทวดา จึงพลอยได้ดื่มน้ำอมฤตด้วย พระอาทิตย์และพระจันทร์จึงแอบบอกพระนารายณ์ พระนารายณ์โกรธมากที่ราหูตบตาพระองค์ จึงขว้างจักรไปตัดกลางตัวราหู ร่างกายท่อนบนได้รับน้ำอมฤตก็เป็นอมตะ แต่ร่างกายท่อนล่างตายไป ราหูจึงเป็นยักษ์มีกายครึ่งท่อน ราหูโกรธและอาฆาตพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก พบที่ไหนก็อมทันที เกิดเป็นราหูอมจันทร์หรือจันทรคราสและสุริยคราส ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้ามาเทศนาให้ราหูเลิกพยาบาทจองเวร ราหูจึงได้คลายพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ออก
การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ เล่นในพิธีอินทราภิเษก มีปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา โขนกลางแปลงนำวิธีการแสดงคือการจัดกระบวนทัพ การเต้นประกอบหน้าพาทย์ มาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ แต่เปลี่ยนมาเล่นเรื่องรามเกียรติ์ และเล่นตอนฝ่ายยักษ์และฝ่ายพระรามยกทัพรบกัน จึงมีการเต้นประกอบหน้าพาทย์ และอาจมีบทพาทย์และเจรจาบ้างแต่ไม่มีบทร้อง

โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงมีหลังคา ไม่มีเตียงสำหรับตัวโขนนั่ง แต่มีราวพาดตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราวแทนเตียง มีการพากย์และเจรจา แต่ไม่มีการร้อง ปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ มีปี่พาทย์ ๒ วง เพราะต้องบรรเลงมาก ตั้งหัวโรงท้ายโรง จึงเรียกว่าวงหัวและวงท้าย หรือวงซ้ายและวงขวา วันก่อนแสดงโขนนั่งราวจะมีการโหมโรง และให้พวกโขนออกมากระทุ้งเส้าตามจังหวะเพลง พอจบโหมโรงก็แสดงตอนพิราพออกเที่ยวป่า จับสัตว์กินเป็นอาหาร พระรามหลงเข้าสวนพวาทองของพราพ แล้วก็หยุดแสดง พักนอนค้างคืนที่โรงโขน รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่เตรียมไว้ จึงเรียกว่า "โขนนอนโรง"

โขนหน้าจอ คือโขนที่เล่นตรงหน้าจอ ซึ่งเดิมเขาขึงไว้สำหรับเล่นหนังใหญ่ ในการเล่นหนังใหญ่นั้น มีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาว การแสดงหนังใหญ่มีศิลปะสำคัญ คือการพากย์และเจรจา มีดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดง ผู้เชิดตัวหนังต้องเต้นตามลีลาและจังหวะดนตรี นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ต่อมามีการปล่อยตัวแสดงออกมาแสดงหนังจอ แทนการเชิดหนังในบางตอน เรียกว่า "หนังติดตัวโขน" มีผู้นิยมมากขึ้น เลยปล่อยตัวโขนออกมาแสดงหน้าจอตลอด ไม่มีการเชิดหนังเลย จึงกลายเป็นโขนหน้าจอ และต้องแขวะจอเป็นประตูออก ๒ ข้าง เรียกว่า "จอแขวะ"

โขนโรงใน คือ โขนที่นำศิลปะของละครในเข้ามาผสม โขนโรงในมีปี่พาทย์บรรเลง ๒ วงผลัดกัน การแสดงก็มีทั้งออกท่ารำเต้น ทีพากย์และเจรจาตามแบบโขน กับนำเพลงขับร้องและเพลงประกอบกิริยาอาการ ของดนตรีแบบละครใน และมีการนำระบำรำฟ้อนผสมเข้าด้วย เป็นการปรับปรุงให้วิวัฒนาการขึ้นอีก การผสมผสานระหว่างโขนกับละครในสมัยรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ ทั้งมีราชกวีภายในราชสำนักช่วยปรับปรุงขัดเกลา และประพันธ์บทพากย์บทเจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึ้นอีก
โขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ ก็ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม

โขนฉาก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีผู้คิดสร้างฉากประกอบเรื่องเมื่อแสดงโขนบนเวที คล้ายกับละครดึกดำบรรพ์ ส่วนวิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการแบ่งเป็นชุดเป็นตอน เป็นฉาก และจัดฉากประกอบตามท้องเรื่อง จึงมีการตัดต่อเรื่องใหม่ไม่ให้ย้อนไปย้อนมา เพื่อสะดวกในการจัดฉาก กรมศิลปากรได้ทำบทเป็นชุดๆ ไว้หลายชุด เช่น ชุดปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ชุดศึกวิรุญจำบัง ชุดทำลายพิธีหุงน้ำทิพย์ ชุดสีดาลุยไฟและปราบบรรลัยกัลป์ ชุดหนุมานอาสา ชุดพระรามเดินดง ชุดพระรามครองเมือง

ยิ้ม 3 แบบ

ได้มีจิตแพทย์จำแนกการยิ้มได้เป็น 3 แบบ คือ ยิ้มจริงใจ ยิ้มเสแสร้ง ยิ้มเศร้า
1. ยิ้มจริงใจ คือ ยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกที่ดีงาม ยิ้มจริงใจเป็นการแสดงความรู้สึกทางด้านบวกอย่างแท้จริงจะปรากฎขึ้น หลังจากได้รับรู้สภาวะของอารมณ์ซึ่งรวมทั้งความยินดีจากสิ่งกระตุ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส อย่างรักใคร่ก็สามารถเรียกรอยยิ้ม อย่างจริงใจออกมาได้ รอยยิ้มอย่างจริงใจนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อหายจากเจ็บปวดจากแรงกดดันที่อึดอัดได้เหมือนกัน
ยิ้มอย่างจริงใจนี้ นอกจากจะใช้กล้ามเนื้อยิ้มตามปกติคือ กล้ามเนื้อขากรรไกรแล้ว ยังใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอีกด้วย ผลของการยิ้มจริงใจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน "ความสุข" (เอนเดอร์ฟิน) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปออกฤทธิ์ทำให้ม่านตาขยายตัว และตามีประกายของความสุขที่เราเรียกว่า "ตายิ้ม" ซึ่งตานี้เองจะแสดงออกถึงความรัก ความเป็นมิตรและความอบอุ่น
2. ยิ้มเสแสร้ง ก็คือรอยยิ้มที่ประดิษฐ์ขึ้น โดยเจตนาจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดทำให้ผู้อื่นคิดว่า เรารู้สึกว่าอย่างนั้นจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ยิ้มเสแสร้ง คือ การเจตนาที่จะพยายามกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกในด้านดี ยิ้มเสแสร้งจะปรากฏบนใบหน้านานกว่ายิ้มจริงใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจิตหลายคนเห็นว่า การหัวเราะเป็นตัวการที่จะปลดปล่อยความตึงเครียด หรือความตื่นเต้นที่มีมากจนเกินไป การหัวเราะช่วยปรับความสมดุล ให้อยู่ในสภาวะปกติ แม้ว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ตลกเลยก็ตาม เหตุผลที่เราชอบหัวเราะอีกอย่างหนึ่งก็เพราะ เวลาหัวเราะเราต้องยิ้มก่อนและใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ย่อมน่าดูกว่าใบหน้าบึ้งตึงดุร้าย การหัวเราะจึงเป็นอีกขั้นหนึ่ง ของการยิ้มนั่นเอง คุณสามารถยิ้มไปโดยไม่ต้องหัวเราะ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหัวเราะโดยไม่ยิ้ม
คนที่สามารถยิ้มและหัวเราะอย่างจริงใจก็เหมือนกับกำลังพูดว่า "ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรนะ ฉันเป็นมิตรนะ ฉันอยู่ข้างเธอนะ" คนที่สามารถยิ้มและหัวเราะในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจริงๆ นั้นก็คือ คนที่เป็นอัจฉริยะโดยแท้ เพราะเท่ากับเขากำลังพูดว่า "ฉันไม่กลัวหรอก"
3. ยิ้มเศร้า มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะเราทำตัวเองเป็นทุกข์ และเรายังทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์อีกด้วย คนที่หัวเราะมากๆ จะมีชีวิตยืนนาน คนที่มีความสุขจะมีอายุยืนกว่าคนที่อมทุกข์ การที่จะให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ จำเป็นจะต้องมีการแบ่งปัน คนที่รู้จักหัวเราะ ก็คือ คนที่รู้จักแบ่งปันนั่นเอง
"ดร.อาหาร ดร.เงียบ และ ดร.รื่นเริง" เป็นผู้เชี่ยวชาญยารักษาที่ดีที่สุดในโลก การรักษาเยียวยานั้น ต้องมาจากภายในและเรานั่นเองและที่จะมีอำนาจรักษาตัวเองได้ การหัวเราะมักจะเกิดพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไปในทางที่ดีที่ใครๆ ก็เห็นได้ชัด เช่น นัยน์ตาเป็นประกาย บุคลิกสดใส การร้องไห้จึงนับว่าเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ช่วยลบล้างความทุกข์หรือเกิดจากทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ จะมีส่วนผสมทางเคมีแตกต่างจากน้ำตาที่เกิดจากผงเข้าตา น้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ภายในจะมีสารช่วยลดความเจ็บปวดอยู่ด้วย ซึ่งจะผลิตออกมาในปริมาณมากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เราเอาชนะความเจ็บปวดและความโศกเศร้าได้ คนที่พยายามยิ้มและหัวเราะอยู่เสมอ แม้จะรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ภายใน ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์เป็นไปในทางดีได้ จะมีความสุขขึ้นทั้งสมองและจิตใจ
ใครดำเนินชีวิตอย่างหวาดกลัวตลอดเวลา มักจะป่วยบ่อยๆ ความกลัวสามารถทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายจับแข็งจนเลือด และฮอร์โมนกับสิ่งบำรุงร่างกายไปเลี้ยงไม่ถึง การหัวเราะ จะช่วยให้มันละลายแล้วเริ่มทำงานตามปกติต่อไป คนที่เป็นทุกข์เนื่องจากมีความกลัวอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะผลิตสารอะดรีนาลินออกมามากเกินไป และไหลเวียนไปทั่งร่างกายตลอดเวลาทำให้ล้มเจ็บได้ ความกลัวสามารถลดได้ด้วยการเผชิญหน้ากับสาเหตุนั้นๆ และการหัวเราะก็เป็นวิธีเผิชญหน้ากับความกลัวที่ดีที่สุด เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด ถ้าเราเรียนรู้ที่จะหัวเราะให้มากขึ้น ในไม่ช้าความกลัวก็จะค่อยๆ หมดไป
วิธีดูว่ายิ้มอย่างไหนจึงจะเหมาะสำหรับคุณก็คือ ลองยืนหน้ากระจกเงา แล้วแสดงสีหน้าแบบต่างๆ ทั้งยิ้มและบึ้ง สังเกตว่า สีหน้าแบบไหนที่ทำให้คุณดูอ่อนวัยลง มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ขึ้น
แต่ละคนจะมีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันออกไป
รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้านานเกินไป จะดูเหมือนกับหุ่นยนต์ หรือยิ้มเสแสร้ง คุณควรจะมีรอยยิ้มที่จริงใจจะดีกว่า เพราะถ้ายิ้มเสแสร้งของคุณเด่นชัดเกินไป ผู้คนก็จะไม่เชื่อถือ
บางครั้งคนอื่นจะตัดสินเราที่เสียงมากกว่ารูปร่างหน้าตา ดังนั้นเราควรจะพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเวลาตอบโทรศัพท์ คนที่อยู่ปลายสายอีกข้างหนึ่ง ไม่เห็นรอยยิ้มกับประกายตา อันแวววาวของคุณหรอก แต่คุณต้องใส่มันลงไปในน้ำเสียง มาพูดโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มกันดีกว่า
วิธีมีรอยยิ้มอันสดใส ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก เพียงแต่หัดยิ้มให้บ่อยๆ เท่านั้นแหละ ยิ่งคุณยิ้มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น แต่รางวัลพิเศษแท้จริงก็คือ คุณจะค่อยมีความสุขมากขึ้นควบคู่ไปด้วย รู้คุณค่าของการยิ้มและวิธีใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง รอยยิ้มเปรียบเสมือนดวงประทีป